คุยกับ“โจ้-พลอยยุคล โรจนกตัญญู” | กลายร่างเป็นนักสู้ผู้ปกป้อง ในภาพยนตร์แอคชั่นระทึกขวัญ “SisterS กระสือสยาม”

บทบาท-คาแร็กเตอร์เรื่อง “SisterS กระสือสยาม”

หนูรับบทเป็น “วีณา”เป็นตัวละครที่โดนกดดันอยู่ตลอดเวลา คือถ้าเป็นวัยรุ่นก็เป็นวัยรุ่นที่เครียดคนหนึ่ง ไม่มีพ่อแม่ให้ปรึกษาตัวเขาอยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ชอบก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ชอบฟังเพลงชอบวาดรูป ชอบผู้ชายคนหนึ่ง อย่างเรื่องความรักจะมีก็ไม่ได้เหมือนมันมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่นั่นก็คือน้องสาวเรา จริงๆไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเราก็โดนปลูกฝังจากลุงมาตลอดว่าเราต้องดูแลปกป้องน้องนะด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด ว่าเพราะอะไรทำไมเราต้องยอมเสียสละอยู่ตลอดแต่ว่าเหมือนโดนฝังหัวมาแต่เด็กว่าต้องดูแลน้องไม่ให้น้องตกอยู่ในสภาวะอะไรบางอย่าง คือเรารู้แค่ว่าต้องทำถ้าไม่ทำน้องจะตกอยู่ในอันตราย

เพราะมันมีเดดไลน์อยู่ในช่วงที่น้องกำลังจะอายุ 16ปีที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชีวิตของเราไม่มีอะไรที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อน้องเพราะมีกันอยู่แค่ 2 คนคือลุงเป็นคนถ่ายทอดวิชาความรู้แก่เราในเรื่องการปรุงยา การต่อสู้ฟันดาบ ร่ายมนต์ ทุกอย่างเพื่อให้เราปกป้องน้องในขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราก็เก่งขึ้นแกร่งขึ้น แต่น้องเราก็ทรุดลงอ่อนแอลง เหมือนมันมีอะไรที่สวนทางกันอยู่

คาแร็กเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากโจ้ยังไง

ก็เหมือนนะคะ คือทุกคนมีสิ่งที่เราอยากทำใฝ่ฝันว่าเราอยากเป็นแบบนี้ในชีวิต แต่ถ้าต่างกันยังไงคือในชีวิตจริงหนูคือได้ทำสิ่งนั้นจริงๆ แต่กับ “วีณา”คือมันมีภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับไว้ค่ะ ส่วนนิสัยส่วนตัวนี่พี่ๆ น้องๆที่มหาวิทยาลัยจะตั้งฉายาให้ว่า โจ้เด็กก้าวร้าว
เพราะว่าเราเหมือนเป็นคนพูดตรงเกินไป จนไม่รักษาน้ำใจคนอื่นอันนี้ก็เป็นข้อเสีย ก็พยายามแก้ไขอยู่ บางทีมันก็มีข้อดีอยู่ในข้อเสียค่ะ


เรื่องราวของ “SisterS กระสือสยาม”“SisterS กระสือสยาม”

เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพันของพี่สาวน้องสาวที่ต้องต่อสู้ตัวเรารับบทเป็น “วีณา” เป็นพี่สาว ก็จะมีความแข็งแกร่งมากกว่าต้องคอยปกป้องดูแลน้องสาวที่มีความอ่อนแออยู่มีบางสิ่งบางอย่างในตัวน้องที่จะพลิกผันไปเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งตัวเราเป็นพี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงในอนาคตแต่ก็จะพยายามปกป้องดูแลรักษาชีวิตน้องให้ดีที่สุดวีณาต้องคอยปกป้องดูแลน้องจากความน่ากลัวบางอย่างที่มันกำลังคืบคลานเข้ามา

ในแง่การแสดงแตกต่างจากหนังเรื่องที่ผ่านมายังไงบ้าง

แตกต่างแบบโดยสิ้นเชิงค่ะ คือในหนังสารคดี “BKKY” (2559)รับบทเป็นตัวเองเลยคือมันแทบจะไม่ต้องทำความเข้าใจในเหตุการณ์หรืออะไรเท่าไหร่เพราะเหมือนเราเจอมันมากลับตัวมันเป็นประสบการณ์ที่เราเจอมาโดยตรงเพราะเราเข้าใจเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้นๆ อยู่แล้ว แต่กับเรื่องนี้ตัวละคร “วีณา”มันเป็นอะไรที่โอเวอร์มากเวอร์กว่าชีวิตวัยรุ่นธรรมดาที่มันจะได้เจอด้วยซ้ำหนูว่าเรื่องนี้คือที่สุดแล้ว เหนื่อยกับมันมาก มีเรียนฟันดาบ รำดาบโรลเลอร์เบลด แล้วก็แอคติ้ง หนูไม่เคยเรียนแอคติ้งมาก่อนเลยตั้งแต่แสดงเรื่อง BKKY มาก็ไม่เคยเรียนแอคติ้งเลยเพราะเล่นเป็นตัวเอง มันไม่ต้องมี Workshop หรืออะไรแบบนี้ก่อนแต่มาเรื่องนี้ต้องมาเวิร์กช็อปกับน้องมิวนิค วันนั้นคือหนักหน่วงมากเหมือนครูที่มาสอนปลุกอะไรในตัวเหมือนเขาพยายามละลายพฤติกรรมหนูกับน้องมิวรู้สึกว่าเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ วันนั้นร้องไห้เลยค่ะ
เหมือนเขาทำให้เรารู้สึกผูกพันกันมากๆแล้วเขามาดึงให้เรามือให้หลุดจากกันมันเหมือนทำให้เรากำลังสูญเสียน้องไป มันก็ร้องไห้ออกมาเลยก็สนุกดีค่ะกับการเรียนแอคติ้ง

มีฉากไหนที่ประทับใจบ้าง

จริงๆ ก็ชอบแทบทุกฉากค่ะอย่างฉากสไลด์โรลเลอร์เบลดในตึกร้างนี่ก็ประทับใจอยู่ ตึกร้างก็น่ากลัวแถมถ่ายเรื่องนี้คือคิว Night ตลอด ตี 4 ตี 5 แบบเนี้ยทุกครั้งลงมาจากตึกคือแบบเช็ดจมูกออกมาคือดำปี๋เลย ยิ่งกว่า PM 2.5อีกค่ะฉากไล่ล่าที่สยาม หนูรู้สึกสนุกกับฉากนี้
มันเป็นฉากที่เรากับน้องต้องวิ่งหนีฝูงกระสือที่ไล่ล่าเราอยู่ถ่ายอยู่หลายรอบหลายมุมมาก เหนื่อยแต่ก็สนุกดีค่ะ นานๆ
ทีได้วิ่งไปวิ่งมาในสยาม แถมมีแฟนคลับมากรี๊ดน้องมิวนิคด้วยอีกซีนที่ชอบคือ ซีนที่ “พี่หญิง” (รฐา โพธิ์งาม)ที่เป็นนางพญากระสือมาจับกดคอแล้วตอนนั้นเหมือนเราเห็นน้องอยู่ตรงหน้าที่กำลังจะกลายร่างเป็นกระสือ แต่เราทำอะไรไม่ได้ เราโดนกดทับอยู่
แล้วสิ่งที่เห็นคือน้องมองมาที่เราแต่เราเองก็เอาไม่ไหวแล้วกับสถานการณ์นี้ คือมันหลายอย่างต้องต่อสู้กับแรงบีบตรงนี้
และเห็นน้องที่แบบเหมือนความพยายามของเราทุกอย่างตั้งแต่ต้นมันพังลงแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ

การร่วมงานกับน้องมิวนิค

น้องมิวทำงานร่วมกันง่ายค่ะ เพิ่งมารู้จักกันเรื่องนี้เลยแต่ว่าน่าจะเคยเห็นน้องมาก่อนเพราะน้องเคยเล่นละครมาก่อนตอนเด็กๆ
ตอนถ่ายเรื่องนี้น้องยังไม่ได้เป็น BNK พอปิดกล้องไป 1 ปี น้องก็เป็นBNK48 รุ่น 2 ไปแล้ว แล้วฉันล่ะ ฉันทำอะไรอยู่ ฉันเป็น BKKY สู้ค่ะ
(หัวเราะ)เข้าขากันมั้ยในความเป็นพี่น้องก็เข้ากันได้ดีค่ะ คือหนูก็รู้สึกว่าหนูแข็งแรงกว่าอยู่แล้วคือน้องเค้าเป็นคนนุ่มนวล นุ่มนิ่มมาก เวลาอยู่กองก็คุยเล่น แซวกันปกติคือหนูไม่กล้าแกล้งน้องเยอะไง เพราะกลัวน้องจะเป็นอะไรไปเพราะน้องดูแบบจิ้มนิดนึงก็ล้มแล้วอะค่ะ (หัวเราะ)
เหมือนในบทที่เล่นเลยค่ะ

การร่วมงานกับพี่หญิง รฐา

พี่หญิงนี่เขาไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เขายืนใส่ชุดสวยๆก็คือขนลุกจริงๆ เป็นผีก็เป็นผีที่สวยมากจริงๆ พี่เค้าเฟรนด์ลีมาก น่ารักเป็นกันเองมาก เรื่องของแอคติ้งก็ไม่ต้องพูดถึงละ สุดยอดสอนน้องบ้างนะคะ (หัวเราะ) แค่สวมชุดตัวละคร “ราตรี”ไปยืนหน้าเซตก็เฮ้ย…สวยอะ เหมือนเป็นนางพญาจริงๆ

ร่วมงานกับพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) ผู้กำกับมากไอเดีย

ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีฝีมือขนาดนี้เวลามีใครถามว่าเล่นหนังเหรอ เล่นเรื่องอะไร ใครเป็นผู้กำกับ
ทุกคนแบบ ว้าว… ผู้กำกับ “องค์บาก” ผกก. “ต้มยำกุ้ง” เหรอ ก็ตื่นเต้นค่ะแต่พอเจอพี่เขาจริงๆ ก็ยิ่งตื่นเต้น ก็รู้สึกว่าเขาขึงขังอะ
นั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์คือมีความออร่า ความน่ากลัวอะไรบางอย่างแบบยังไม่ทันต้องพูดหรือสั่งอะไรเรา
รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ต้องเคารพนับถืออะ

คิดว่าภาพหรือการดีไซน์กระสือของพี่ปรัชจะออกมายังไง

คือกระสือในความคิดเราคือบ้านๆ ทุ่งๆ ทุ่งนา ฟางข้าวโผล่มาจากต้นไม้แต่คือเรื่องนี้เหมือนเขาเอาความเป็นกระสือมาใกล้ตัวมากขึ้น
ใกล้สังคมปัจจุบันมากขึ้น แบบวัยรุ่นสยาม ในกรุงเทพใครจะไปคิดว่าแบบท่ามกลางเมืองที่มีแสงสีมากมายจะมีกระสือเนี่ยนะม
าปะปนอยู่ด้วย คือเขาก็แฝงในเรื่องที่สังคมไทยมีอยู่ อย่างเรื่องทำแท้งหรือเรื่องคลินิกความงาม คือมันใกล้ตัวเรามากนะ
เพราะสมัยนี้มันเป็นเรื่องปกติกระสือในเวอร์ชั่นนี้ต้องมีความแปลกใหม่แน่นอนค่ะ รอดู ค่ะรอดู

เคยได้ยินเรื่องกระสือมาก่อนไหม

เคยค่ะ เคยได้ยินแต่รู้สึกว่ามันไกลตัวมาก ไม่น่ามาหลอกเราเพราะเราเป็นคนในเมืองกรุง (หัวเราะ)

ความน่าสนใจ-ความโดดเด่นของเรื่องนี้

ก็เป็นหนังกระสือแนวใหม่พูดได้เลยว่าไม่มีทางเหมือนกระสือแบบเดิมๆ ที่เคยเห็นและมีมาบวกกับฝีมือของพี่ปรัช หนูว่าเรื่องนี้ต้องออกมาเจ๋งแน่ๆและก็คาแร็กเตอร์ของตัวละครที่น่าสนใจ ก็อยากเชิญชวนให้มาดูกันเอาจริงๆ เลยถ้าไม่นับ BKKYนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่หนูได้เล่นแบบเต็มตัวมากๆ ค่ะเราทุ่มเทไปกับมันมากๆ อยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดก็จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 4 เมษายนนี้ แล้วนะคะ
ก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ กับตัวเรา คือเราทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจทำการบ้านกับมาก็เยอะ ได้รับโอกาสได้รับบทนี้
ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ ทำออกมาเต็มที่ให้ดีที่สุดก็อยากให้ทุกคนมาดูกระสือในรูปแบบใหม่ กระสือยุค 2019
บวกกับนักแสดงรุ่นเล่นรุ่นใหญ่ทั้งน้องมิวนิค, พี่หญิง, พี่ต๊อกและฝีมือของพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว
เรื่องนี้ก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนค่ะ