คุยกับ“แอน” อรดี จัดเต็มการแสดงทุกแง่มุมของ “ผู้สาวไทบ้าน”

คิดจะพัก-วางไมค์แป๊บ “แอน” อรดี จัดเต็มการแสดงทุกแง่มุมของ “ผู้สาวไทบ้าน”ตีบทแตก แสบ กวน ชวนซึ้ง สุดจึ้งจนหนุ่มๆ ไทบ้านพร้อมตกหลุมรักแม้แต่ “โอบ โอบนิธิ” ยังต้องอาสาเป็นผู้บ่าวคอยซับน้ำตาใน “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…”ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ที่จะทำให้คุณฮาคักฮักหลายและเทใจให้เต็มๆ

ทักทายแฟนๆ กันหน่อย

สวัสดีค่ะ “แอน อรดี” นะคะ สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” ก็เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของแอนที่แฟนๆ จะได้ชมกัน ในเรื่องนี้แอนรับบทเป็น “เฟิร์น” ค่ะ มีนิสัยที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา เป็นสาวโรงงานที่มีความฝันแต่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว เรื่องนี้ก็เป็นหนังรักคอมเมดี้ที่มีทั้งรัก แอบรัก หลากหลายอารมณ์ มีอกหัก เศร้า สนุกสนาน เฮฮา ก็ครบรสเลยในหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนังรักฟีลกู๊ดอีกเรื่องเลยค่ะ

“ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” เป็นหนังที่สื่อสารถึงอะไร

“ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” เป็นหนังอีสานสไตล์ใหม่ที่พูดถึงเรื่องราวของวัยรุ่นยุคใหม่ใกล้ตัวมากๆ สำหรับวัยรุ่นอย่างเรา โดยเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นที่มีความฝัน อย่างชีวิตโดยตามปกติแล้วเราจะเห็นอย่างเช่นวัยรุ่นโดยทั่วไปก็จะมีใช้ชีวิตเรียนหนังสือ เรียนจบแล้วก็จะต้องมีทำงาน หรือบางคนเรียนจบแล้วก็เข้ามาทำงานที่ต่างจังหวัดบ้าง ในเมืองในกรุงเทพฯ บ้าง หนังก็จะเล่าเรื่องวิถีชีวิต การดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงวัย อย่างตัวละครของแอนเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความฝันซึ่งเราเองก็ทำงานโรงงาน มีความฝันอยากที่จะสอบเลื่อนตำแหน่งที่มันดีขึ้น เป็นผู้จัดการได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ  ส่วนน้องสาวก็จะเป็นเด็กนักเรียนที่มีความเป็นผู้สาวไทบ้าน ก็จะมีความรักกุ๊กกิ๊กๆ ความน่ารักสดใส ส่วนในตัวของพระเอกเองก็เป็นผู้บ่าวไทบ้านที่ได้เข้าไปทำงานในเมืองและกลับมาที่บ้านเพราะอยากดูแลแม่ และกลับมาสร้างอนาคตที่บ้านเกิด เรื่องราวและตัวละครก็จะหลากหลายมากๆ ในเรื่องนี้ค่ะ

ในความเป็นหนังรักโรแมนติกสไตล์อีสาน อะไรคือเสน่ห์ของเรื่องนี้

หนังอีสานเขามีเอกลักษณ์ของเขา ทั้งเรื่องของภาษา กิริยาท่าทาง ดูแล้วเข้าใจง่าย คนทุกๆ ภาคดูแล้วจะอ๋อ…แปลว่าประมาณนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะฟังไม่ออกก็ตาม หนูรู้สึกว่าคือมันชัดเจนและตรงไปตรงมาและมีความน่ารัก ทำให้คนมีแต่เสียงหัวเราะ มีแต่รอยยิ้ม บวกกับภาษาท้องถิ่นบ้านเราเข้าไปก็ทำให้มีรสชาติสนุกขึ้นไปอีก รวมถึงทำให้บางคนอยากรู้ว่าประโยคนี้แปลว่าอะไร ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเข้าใจในภาษาอีสานมากขึ้น แล้วก็มันสื่อสารง่ายๆ ด้วยค่ะ เรื่องนี้ก็เช่นกัน

 

แฟนๆ จะรู้จักและคุ้นเคย “แอน อรดี” ในฐานะหมอลำสาว เป็นนักร้องบนเวที แต่ครั้งนี้ขอวางไมค์มาแสดงแบบเต็มตัว 

จริงๆ ก่อนหน้านี้แอนเคยได้แสดงภาพยนตร์แล้วครั้งหนึ่งคือเรื่อง “ผู้บ่าวไทบ้าน 2 ตอนแจกข้าวหาแม่ใหญ่แดง” (2559) เล่าเรื่องการดำเนินชีวิตไปอีกแบบหนึ่งซึ่งจะเป็นแบบสาวเลี้ยงวัว สาวทำนา ก็คือจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ก็มารับบทเป็นสาวโรงงานซึ่งมีความทันสมัยขึ้น แล้วก็มีความฝัน มีความรัก เหมือนตัวละครโตขึ้น เหมือนอายุเยอะขึ้น จริงๆ ก็เหมือนตัวเราเองนี่แหละค่ะ 

บทบาทของสาวโรงงานวัยรุ่นยุคใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…”

คาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้ก็เป็นสาวโรงงานที่เป็นวัยรุ่นยุคใหม่ มีความรับผิดชอบสูง เป็นเสาหลักของครอบครัวค่ะ ต้องดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่และน้องสาว เป็นคนที่จริงจังมุ่งมั่น มีความฝันที่จะสอบเลื่อนตำแหน่งไปทำงานที่ต่างประเทศให้ได้เพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว มีความฝันที่จะทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะได้ให้ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา 

รวมถึงเมื่อเราโตขึ้นก็มีความรัก มีแฟน แต่ในชีวิตของเฟิร์นคือมีแฟนหล่อค่ะ ทำงานดี ตำแหน่งดี แต่ว่าคือเจ้าชู้ แล้วก็ไม่ค่อยซื่อสัตย์กับตัวเฟิร์นเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ตัวเราก็เป็นคนที่จริงจัง แล้วทีนี้พอเราจับได้ว่าแฟนของเรามีกิ๊ก คือนอกใจมาหลายครั้ง และเราก็เลยขอเลิกเขา พยายามที่จะตัดใจ ก็เสียใจอยู่สักพักหนึ่งค่ะ จนได้มาเจอกับ “เคน” พระเอกของเรื่องซึ่งรับบทโดย “โอบ โอบนิธิ” ค่ะ เป็นช่วงที่เคนกลับมาดูแลแม่ แล้วก็บวกกับที่เขาเองก็อยากจะมาทำธุรกิจที่บ้านเกิดที่นี่ก็เลยเจอกันโดยบังเอิญ จากความบังเอิญกลายเป็นว่าเคนเข้ามาช่วยให้ตัดใจจากรักครั้งเก่าได้ จนกลายเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นยังไงต้องไปชมกันค่ะ

บทนางเอกของเรื่องนี้ผู้กำกับตั้งใจเลือกแอนมาโดยเฉพาะ บทนี้ท้าทายอย่างไรทำให้รับแสดง

จริงๆ แล้วแอนคิดว่าหนังเรื่องแรกที่แอนเล่นคือที่สุดแล้วค่ะ สำหรับในชีวิตของแอนนะคะ ทีนี้พอ “พี่บอย” (อุเทน ศรีริวิ) ผู้กำกับเขาติดต่อมาอีกครั้ง เราก็ลองอ่านบทดูก่อน เรามีความรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับตัวเรามาก คือแอนก็เป็นหัวหน้าครอบครัวเหมือนกัน เป็นเสาหลักครอบครัว ทำงานทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ทุกคนสบายแล้วก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมากที่สุด แล้วก็ในส่วนเรื่องของความรัก โอเคเราก็เหมือนกัน คือมีความรักประมาณนี้แหละ เคยมีแฟนแต่ก็นอกใจ ผลสุดท้ายเราก็เสียใจ แล้วก็พอมารู้ว่าพระเอกของเรื่องคือ “โอบ โอบนิธิ” ซึ่งหนูเคยดูผลงานของเขาแล้วก็เป็นแฟนคลับเขาด้วย (หัวเราะ) ซึ่งน้องเป็นคนที่น่ารักมาก และมันเหมือนเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ ได้หาประสบการณ์ทางการแสดงกับน้องเขา เพราะโอบคือนักแสดงที่เป็นมืออาชีพมากๆ ถ้าเกิดเรามีโอกาสได้ไปเล่นข้างเขาเนี่ยมันต้องเป็นอะไรที่ดีสำหรับเราแน่นอน แล้วอีกอย่างคือความท้าทายไม่ว่าจะแบบเมา กวนพระเอก หรือแก่นๆ คือมันเป็นอีกมุมที่เป็นตัวเรามากๆ แต่คนข้างนอกเขาไม่เคยเห็นแอนในมุมนี้เลย มันก็เหมือนกับว่าโอเค ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นตัวแทนที่ทำให้คนได้รู้จักแอนมากขึ้นด้วยค่ะ

ความยากในบทบาทนี้

คือปกติเราไม่ถนัดด้านการแสดงซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้มีบทที่ยากมากนะคะ ปกติแล้วคือเราจะร้องเพลงอยู่บนเวทีจับไมค์ แต่ถ้าต้องแสดงลำเรื่องต่อกรบนเวทีก็คือมันก็แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ มันไม่ได้ลงรายละเอียดว่าอารมณ์มันเป็นแบบไหนๆ แต่พอเรามาอ่านบทดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซีนที่ต้องร้องไห้ ดราม่า ซีนที่เกี่ยวกับความผูกพันที่มันลึกขึ้นไป มันทำให้แอนรู้สึกว่ามันยากมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่แอนอยากจะลองดู มันท้าทายมาก และเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ต้องลองค่ะ

ความพิเศษของบทบาทนี้เหมือนหรือแตกต่างจากตัวเราเองยังไงบ้าง

ปกติแอนก็เป็นคนที่ไม่ได้เรียบร้อยมากนะคะ แต่อยู่บนเวทีทุกคนจะแบบรู้สึกว่านางเอกต้องเดินแบบนี้ๆ ต้องยิ้มแบบนี้นะ คือจริงๆ แล้วเราไม่ใช่เลย ข้างล่างเวทีเราเป็นคนที่กวน กวนมาก และก็เป็นคนขี้เล่นเหมือนกัน แต่เวลาจริงจังก็จริงจัง แต่ว่าด้วยความที่เรามาอ่านบทแล้ว และในบางซีนที่มันตลก มันบ่งบอกในความเป็นตัวของเรา แล้วพอเราใปอ่านก็แอบหัวเราะตามว่าอันนี้เราก็เคยผ่านมา เคยเป็นมาเหมือนกันนะพี่ เหมือนกับว่าโอเคไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนมา กลับมาแล้วไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ล้างหน้า มันบ่งบอกตัวเรามากๆ เลย มันก็ทำให้เราอยากเล่นเรื่องนี้ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือในบทของตัวละครเฟิร์นเขาค่อนข้างเป็นผู้สาวไทบ้านที่ไม่ได้มีความคิดร้ายอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นมันค่อนข้างเป็นธรรมชาติที่เราจะสื่อสารออกมาเป็นสาวไทบ้านโดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะหลายๆ อย่างเป็นเหมือนกับตัวเรา 

ในบทบาทของนักร้องงานก็แน่นมากแล้ว พอต้องมารับแสดงภาพยนตร์แล้วยังไงบ้าง 

มันยากมากๆ ในทุกๆ อย่างเลยค่ะ ทั้งในเรื่องของบท เวลา การปรับตัว อันดับแรกเลยจากการปรับตัวของเราคือด้วยความที่เราเป็นนักร้อง เป็นศิลปินหมอลำ ถ้าเราอยู่บนเวทีถึงเวลาจับไมค์ก็เดินออกไปแสดงตามที่เราซ้อมมา ซึ่งเราจะมีการซ้อมมาเป็นเวลาเดือนหรือสองเดือน ซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์มากๆ ค่ะ เพราะว่าเราเองต้องมีจินตนาการว่าตัวละครเป็นแบบนี้ พอแอ็กชันปุ๊บก็ต้องเล่นให้ได้ ต้องมีสมาธิ แล้วก็ต้องทำการบ้าน ต้องมีจินตนาการอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าเราคือเฟิร์นนะเป็นสาวโรงงาน บางทีมันก็มีเบลอเหมือนกัน เนื่องจากว่าในช่วงที่ถ่ายทำเราก็มีงานคอนเสิร์ตอยู่ บางวันได้นอนแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วบางทีถ่ายเสร็จก็มีรถมารอรับไปงานต่อแล้ว มันยากในการปรับตัว และบางวันเราต้องถ่ายกันทั้งวันเลย ซีนแต่ละซีนมันก็ไม่เหมือนกัน เช้ามาร้องไห้ เที่ยงมาแบบกวนๆ พอมาดึกๆ ผู้กำกับก็สั่งร้องไห้อีกนะก็ต้องร้อง เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ตามที่ผู้กำกับสั่ง อันนี้เป็นอะไรที่ยากมากค่ะ ซึ่งเราค่อนข้างที่จะซีเรียสมากๆ ว่ามันจะออกมาอย่างไร แต่ก็ทำเต็มที่ค่ะ

บรรยากาศถ่ายทำตั้งแต่เริ่มเวิร์กช็อปกับโอบที่ไม่เคยเล่นด้วยกันจนถึงการถ่ายทำออกมาเป็นเรื่องนี้

เรื่องนี้เหมือนเป็นการแก้ตัว เพราะเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยความที่เรามีแสดงหมอลำทุกคืน แล้วกลางวันถ่ายหนังทำให้เราเป็นลมบ่อยมากเนื่องจากไม่ได้นอน แล้วโลเคชันก็คือทุ่งนาค่ะ เพราะว่าเป็นสาวไทบ้านที่เลี้ยงควายเลี้ยงวัว เรารู้สึกว่าตัวเองไม่เต็มที่ แต่พอมาเรื่องนี้เรามีโอกาสได้มาเล่นแล้วเราจริงจังมาก และอยากทำให้ตัวละครออกมาดีที่สุด ให้ภาพยนตร์ออกมาดีที่สุด ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ทำให้เรารู้สึกว่าท้าทายมากยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากนักแสดงนำเรื่องนี้คือ “โอบ โอบนิธิ” คือนักแสดงที่ไม่เคยร่วมงานกันมาเลย และเอาง่ายๆ คืออยู่ใกล้ๆ ก็สั่นแล้วค่ะ แล้วต้องมาแสดงภาพยนตร์ด้วยกันก็ต้องแบบเหมือนสนิทกันไปแล้ว มันเป็นอะไรที่มันยากมาก แล้วคือในซีนแรกที่มาเจอกันคือก็แบบเขินกันแล้วค่ะ คือเหมือนไปเที่ยวด้วยกันมาแล้ว 2-3 ครั้งค่ะ ซึ่งมันไม่ใช่ในชีวิตจริง คือมันไม่ใช่ พอเดินเข้ามา เออ…โอบนะ โอบมองหน้าแอน แอนมองหน้าโอบ เอาแล้วค่ะคือหินมาก ความยากอยู่กับหนูละตอนนี้ มันเป็นอะไรที่สนุกด้วย ท้าทายด้วย ทำให้หนูต้องทำการบ้านหนักขึ้น เพราะว่าอย่างตอนแรกเลยที่พอรู้ว่าหนังจะเป็นแบบนี้นะ มีสตอรีแบบนี้นะ มีเรื่องราวแบบนี้นะ หนูก็ไปทำการบ้าน เราก็ไปดูตัวอย่างมากมาย นางเอกกวนๆ นางเอกซีนรักต้องเป็นแบบนี้นะ ซีนกวนต้องเป็นแบบนี้นะ สายตาที่เราจะมองพระเอกต้องทำยังไงถึงจะโน่นนี่นั่นที่สุด แล้วบวกความเป็นตัวเองไปด้วย มันก็ไม่ง่ายเลยค่ะ

ก่อนจะต้องแปลงร่างเป็นเฟิร์นต้องทำอะไรบ้าง 

ทำทุกอย่างเลยค่ะ คือเฟิร์นอาจจะใกล้เคียงกับตัวเราในส่วนที่เขามีความมุ่งมั่น มีชีวิตคล้ายๆ เรา แต่ในส่วนที่ไม่คล้ายก็มี ซึ่งเราก็จะต้องจินตนาการให้ออกว่ามันจะต้องออกมาเป็นแบบไหน ก็ต้องทำการบ้านหนักค่ะ แล้วก็ต้องมีเวิร์กช็อปด้วย มีการได้คุยกันมาก่อนกับโอบ มีการทำความรู้จักกันมาก่อนก็ช่วยให้ราบรื่นขึ้น แม้พอมาเข้าฉากจริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายเลย คือจริงๆ แล้วมันเป็นอะไรที่มันก็ตื่นเต้นไปอีกระดับหนึ่งค่ะ จากที่คุยกันมาแล้วมันก็โอเค เรารู้สึกผ่อนคลายแล้ว แต่ในความโชคดีของหนูก็คือว่านักแสดงที่มาแสดงกับเราค่อนข้างที่จะไม่ถือตัวเลย แล้วก็ใส่การแสดงไม่ยั้งเหมือนกันค่ะ 

การร่วมงานกันครั้งแรกกับ “โอบ โอบนิธิ”

แอนถือว่าเป็นแฟนคลับเขาเลยค่ะ ติดตามตั้งแต่ซี่รีส์ ดูภาพยนตร์ แล้วเราก็รู้ว่าเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพมากๆ อยู่แล้ว พอเรารู้ว่าเขาจะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้คู่กับเรา เราก็โอ้โห…มันเป็นอะไรที่ฝันไปใช่มั้ยคะ เพราะว่าคือหนูก็จินตนาการไม่ออกว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร แล้วเขาเป็นคนภาคกลางแต่ต้องมาแสดงหนังอีสานมาพูดภาษาอีสาน มาเรียนรู้วิถีชีวิตอีสานและต้องมาถ่ายทอดออกมาให้คนอีสานได้ดู หรือคนทั่วประเทศได้ดู ต้องยากแน่ๆ แต่เขาผ่านแคสต์มาได้ขนาดนี้ก็คือฝีมือล้วนๆ และจริงๆ หนูเป็นรุ่นพี่โอบ มันจะดูต่างกันมากรึเปล่าในความรู้สึกของเรานะคะ แต่ว่าเนื่องด้วยทางผู้กำกับแล้วก็เรื่องบทของเรา เขาก็อธิบายให้เราฟังว่ามันเป็นในลักษณะนี้นะ มันเป็นแบบนี้ๆ นะ มันทำให้เราอ๋อ…เข้าใจความรู้สึกมากขึ้นแหละว่าเขาจะมายังไงไปมายังไง ซึ่งสิ่งที่ประทับใจในตัวของพระเอกเลยคือเรื่องคาแร็กเตอร์ที่ชัดมากเลยก็คือความจริงใจ เพราะว่าผู้บ่าวไทบ้าน คนบ้านนอกเขาไม่มีอะไร มีแต่ความจริงใจ รักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้มันจะต้องแบบเก็บความรู้สึก มันเหมือนกับแอบชอบนางเอกแต่ต้องเก็บ แต่ก็พยายามห่วงแหละ ก็เหมือนเป็นเพื่อนกันแต่ไม่แสดงออกไงคะ แต่นางเอกก็คือไม่ได้คิดอะไรไงคะ มันก็เลยทำให้คนดูต้องลุ้นไปด้วยค่ะ ขนาดเราแสดงเองเรายังต้องอ๋อ…อย่างเวลาเราอ่านบทในเรื่องเรายังต้องลุ้นว่าเฮ้ย…มันจะจบยังไง ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่ารักไปโดยธรรมชาติของมันเองเลยค่ะ แล้วที่สำคัญก็คืออยากให้ทุกคนได้เข้าไปดูเรื่องนี้เพราะว่าโอบพูดภาษาอีสานได้แบบสำเนียงได้มาก หนูยังคิดเลยว่าโห…โอบพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอ สำเนียงเป๊ะ แต่ว่าคำไหนที่ไมได้เราก็จะมีช่วยๆ กันอยู่แล้ว จะบอกว่าเฮ้ย…พี่แอนคำนี้เขาพูดยังไง น้องก็จะมีถามบ้างแล้วก็จะมีคุยกันบ้างนอกรอบค่ะว่าจะยังไง แต่ที่สำคัญคือพอเราได้แสดงด้วยกัน วันหลังๆ เราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น เพราะว่ามันจะมีซีนที่แบบขี่มอเตอร์ไซค์ ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันเยอะมากค่ะ แล้วคือเราถ่ายกันแบบขับกันเป็น 10-20 กิโล ซึ่งมันมีเฉพาะเราสองคนที่ต้องคุยกันอยู่แล้ว แล้วเราก็สนิทกันไปโดยปริยาย

โดยส่วนตัวปลื้มโอบอยู่แล้ว พอได้มาร่วมงานกันจริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง

พอได้มาทำงานด้วยกันนะคะ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือเขาเป็นคนที่ตั้งใจมากๆ แล้วก็ด้วยความเป็นนักแสดงพอแอ็กชันปุ๊บ โอบเหมือนมีวิญญาณเข้ามา (หัวเราะ) มาสิงเข้าไปในร่างเขาเลย เขาแบบเรียนรู้ได้เร็วมาก เขาต้องทำการบ้านมาหนักมากแน่นอน แต่บางอย่างถ้าเขาไม่เข้าใจ ทางผู้กำกับเขาก็จะบิลด์นิดๆ เขาก็อ๋อเลย คือเขาเป็นมืออาชีพมากๆ คือสมแล้วที่เขาล่ารางวัลได้หลายๆ รางวัลนะคะ แล้วก็พอได้มาทำงานกับเรา ง่ายๆ เลยคือเขาส่งอารมณ์ให้เราแบบดีมาก ดูจากสายตาก็รู้ คือก่อนหน้านี้ก็จะคิดเสมอว่าเออ…อันนี้เป็นผู้สาวไทบ้านที่แบบไม่ได้สวยอะไรเลยนะคะ แล้วคืออยู่ในหนังนี่ก็ไม่ได้แต่งอะไรเลย แล้วพอหันหน้าไปมองเขาคือหล่อมากถึงไม่แต่งหน้า เราก็โอ๊ย…คือบ่สมเขาแท้ (หัวเราะ) คือว่ามันไม่เหมาะสมเลย ด้วยความที่ว่าในบทมันต้องบังคับให้เราทำให้เขามาชอบเรา แล้วเขาส่งอารมณ์มาเหมือนกับว่าเขาชอบเราจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ค่ะ คือเขาเป็นมืออาชีพมาก ชอบค่ะ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อเลยว่าโอบเขาถ่ายทอดอารมณ์ในการเป็น “เคน” ได้ดีมากๆ เรื่องนี้เราแต่งหน้ากันน้อยมาก ทุกอย่าง Real หมดทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด คือหนูประทับใจค่ะ ประทับใจที่เขาแสดงออกมา มันทำให้เราเห็นว่าเออ…นี่แหละ เป็นคนอีสานเด้อ เคนเด้อ เขาทำได้ดีมากๆ สิ่งที่เห็นที่แอนรู้สึกเลยก็คือว่าโอบเขาทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นเคนจริงๆ แล้วมันก็เป็นพลังที่ทำให้เราเป็นเฟิร์นจริงๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราวิตกกังวลมาโดยตลอดว่ามันจะไปด้วยกันได้หรือเปล่านะคะ แล้วถ้าเราได้มานั่งคู่กัน ได้มาเล่นด้วยกัน ได้มานั่งแบบเป็นซีนที่ต้องแสดงอารมณ์ถึงความห่วงใย ถึงความรักที่เขามีต่อเรา มันจะเป็นอย่างไรเหรอ เรากังวลมาโดยตลอด แต่ว่าพอแบบได้มาเล่นจริงๆ คือโอบเขาทำให้เรารู้สึกมากๆ ว่าเขารักเรา แอบชอบนะ เป็นห่วงเฟิร์นนะได้อย่างดีมากๆ เลยค่ะ

พอเล่นเรื่องนี้จบทำให้หมอลำสาวแสนสวยอย่าง “แอน อรดี” ได้ฉายามาเพิ่มนั่นคือ “นางเอกเจ้าน้ำตา”

นางเอกเจ้าน้ำตา หนูก็จะทำความเข้าใจกับบทนั้นก่อนว่ามันเป็นอย่างไร แต่เนื่องด้วยบทที่ตรงกับชีวิตเราอยู่แล้วค่ะ เราจะเซนซิทีฟมากกับเรื่องของความรู้สึกของคนรอบข้าง ครอบครัว พี่น้อง คนรัก มันเป็นความรู้สึกตรงของเราอยู่แล้วจริงๆ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ แอนก็ต้องร้องไห้ แอนแค่รู้สึกแบบนี้ แอนยังเสียใจขนาดนี้เลย มันก็เลยทำให้ร้องไห้ออกมาแบบอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาสั้นขนาดนั้นนะคะ แต่ก็ต้องบิลด์กันนิดนึง เพราะว่าเราเองก็ไม่ได้มืออาชีพอะไรขนาดนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวแอนในทุกๆ อย่าง มันก็ไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือว่าเฟิร์นมันกลายเป็นแอนไปแล้ว ด้วยความที่เฟิร์นเป็นตัวละครที่มีความรู้สึกอ่อนไหวได้ง่าย ไม่ว่าเขาจะเจออะไร เขาจะเหมือนเป็นคนเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วคือข้างในเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เขาก็มีมุมอ่อนแอ มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไปที่รู้สึกผิดหวัง เสียใจ แล้วน้ำตาก็มาแบบนี้ค่ะ

ในความเป็นหนังอีสาน หลากหลายแง่มุมที่ทุกคนจะได้เห็นในหนังมีอะไรบ้าง

เรื่องราวของการดำเนินชีวิตของคนอีสานที่แอนคิดว่าน่าจะตรงกับทุกๆ คนที่อาจจะเคยผ่านมา อาจจะเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน พอได้ดูแล้วมันจะรู้สึกว่าอินไปกับตัวละครด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของวัยรุ่นที่อยู่ในต่างจังหวัดมันจะต้องมีมอเตอร์ไซค์คู่ใจซักคันหนึ่งไปไหนไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ใช้ชีวิตแบบสนุกมักม่วน ทำงานเสร็จในแต่ละอาทิตย์ เงินเดือนออก หรือถูกหวยก็ต้องมีฉลอง ต้องไปฉลองกันที่ร้าน มีการเมากันเกิดขึ้น หรือว่าจะมีผิดหวังเรื่องของความรักแล้วก็ต้องเสียหลักสำมะเลเทเมา ซึ่งมันก็จะเห็นวิถีชีวิตหรือภาพเหล่านี้อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมดเลย แล้วก็จะเห็นในมุมที่เหมือนอดีตที่ทุกคนเคยผ่านมาแล้ว พอได้ดูมันก็จะสนุกมากยิ่งขิ้น มันเคยผ่านมาแล้ว ซึ่งเราจะได้ถ่ายทอดออกมาให้กลายเป็นหนังให้กับผู้ชมทุกคนได้ดู ปาร์ตี้สังสรรค์อย่างไปร้านคาราโอเกะจะต้องมีสั่งอาหาร ต้องสั่งกับแกล้ม ต้องมีลาบก้อย มีเรื่องของอาหารเข้ามาก ซึ่งก็จะเห็นเมนูอาหารอีสานเหล่านี้อยู่ในหนังด้วยค่ะ

อีกสีสันและความเซอร์ไพรส์ที่เราจะได้เห็น และเชื่อว่าหลายคนไม่เคยเห็นการทำอาหารอีสานและความเป็นแม่ครัวอีสานที่อยู่ในตัวของ “แอน อรดี” 

จริงๆ คือเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ค่ะ พอเราได้ฟังผู้กำกับบอกเล่าเรื่องราวในตัวละครก็โอเค ก็คิดว่ามันน่าจะพอเป็นไปได้นะคะในความรู้สึกเรา แต่พอเข้ามาสู่ในเรื่องของความรู้สึกของอาหาร ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมีเมนูเขาเรียกว่าเป็นออเดิร์ฟอีสาน ซึ่งใครพอได้ยินเมนูนี้ก็จะพอเข้าใจเลยว่าอ๋อ…เป็นอาหารอีสาน ก็จะเป็นส้มตำ ลาบก้อย ต้มแซ่บ ซอยจุ๊ ตับหวานอะไรอย่างนี้ค่ะ ซึ่งหนูอยากจะบอกเลยว่าแอนเป็นคนหนึ่งที่คือตั้งใจที่จะไม่ทานเนื้อมานานมากๆ เลย ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว คือเรารู้สึกว่ามีกลิ่น พอมาในบทเรื่องนี้ก็จะมีเรื่องราวที่เราจะต้องสอนพระเอกทำลาบก้อย เพราะว่าพระเอกจะไปเปิดร้านลาบ ซึ่งเราเองจะต้องเป็นเชฟ คือเหมือนกับว่าชำนาญการว่าอันนี้ใส่เท่านี้ อันนี้ใส่ข้าวคั่ว พริกผง ต้องปรุงอย่างนี้ๆ สับอย่างนี้ต้นหอม แต่ในความเป็นจริงคือหนูไม่ค่อยมีโอกาสเข้าครัวเลย เพราะเราต้องไปแสดงทุกวันเลย ไปเป็นหมอลำนักร้อง มันไม่มีโอกาสทำกับข้าวอยู่แล้ว มันก็เลยกลับกลายเป็นว่าโอเคเราทำไม่ค่อยเก่ง แล้วพอมาเรื่องนี้เราต้องเป็นคนที่สอนพระเอกทำ ต้องชิม ต้องกินเนื้อดิบๆ มีซอยจุ๊ โอ้โห…ทุกอย่างมาเลยค่ะ มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ เราก็โอ๊ะ…ได้บ่น้อ แต่มันก็ต้องผ่าน ก็ต้องทำให้ได้ คือต้องกินจริงๆ เลย

แล้วสำหรับโอบล่ะ จากหนุ่มนักแสดงกรุงเทพฯ ที่ต้องกลายมาเป็นหนุ่มอีสานผู้บ่าวไทบ้าน

คือโอบเนี่ยเราคิดว่าเขาจะมีการปรับตัวในการมาใช้ชีวิตในกอง หรือว่าการที่จะมาเป็นคนอีสานกับเรานะคะ หนูคิดว่าเขายากนะ ดูท่าทางแล้ว ทีนี้พอมาเอาเข้าจริงๆ คือเขาไปได้สบายเลยค่ะ กินอะไรกินได้หมด เขาเป็นคนที่น่ารักมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่คือเขาง่ายๆ ทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นพอผู้กำกับสั่งให้กินโน่นกินนี่ก็กินได้หมดเลย ไม่ต้องห่วงเลยค่ะด้านนั้น ได้หมดทุกอย่างจริงๆ อยากให้แฟนๆ ติดตามดูนะคะในภาพยนตร์เรื่องนี้ แฟนคลับของโอบจะต้องตกใจกันแน่นอน แล้วก็ต้องคอยลุ้นกันแน่นอนว่าโอบจะกินเนื้อดิบๆ ก้อยดิบๆ ได้รึเปล่านะคะ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้จะตอบทุกอย่างเลยคะว่าโอบเป็นอย่างไร (หัวเราะ)

สปิริตและเบื้องหลังการเว่าอีสานทั้งเรื่องของโอบ ต้องฝึกอย่างไร แอนและทีมงานอีสานต้องช่วยฝึกอย่างไร 

จริงๆ แล้วหนูคิดว่ามันก็คงยากสำหรับเขานะคะ แต่หนูว่าเขาแอบไปทำการบ้านมาแล้วล่ะว่าเขาจะต้องพูดอีสานนะ แต่ก็เคยได้ยินผู้กำกับบอกว่าเหมือนเคยอัดเสียงไปให้เขาฟังแล้ว แกะสำเนียงแล้วว่าจะต้องพูดประมาณๆ นี้ แต่พอมาอยู่ที่กองแล้วก็หายห่วงเลยค่ะ เพราะว่ากูรูเยอะมากๆ คือเขาเรียกว่าอะไร ทีมงานของเราทั้งหมดเป็นคนอีสานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะมีคนที่สนิทกับเขาเป็นเหมือนกับผู้ช่วยในฝ่ายต่างๆ ก็จะมีคนหนึ่งที่เขาสนิทกันกับโอบก็จะคอยสอนกันมาตลอดว่าคำนี้พูดยังไง มันก็เลยทำให้เขาไม่เกร็งเลยนะ เวลาที่เขาพูดอีสานมันเป็นตัวของเขาเลย แต่ว่าแค่บางคำที่มันรู้สึกว่าเพี้ยนๆ หน่อย แต่โอเคเราก็ช่วยกัน แต่จริงๆ แล้วหนูก็งงว่าเขาทำได้ยังไง

ที่สำคัญการพูดของเขาคือมันน่ารักนะคะ คือเรามาดูคนหล่อแล้ว คนที่หน้าตาดีแล้วยิ่งมาพูดอีสานอีก มันยิ่งต้องดูค่ะ ใครที่อยากเห็นโอบในอีกแบบหนึ่งในลุกส์ที่ไม่เคยเห็น จะต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้เลยค่ะ มันเป็นอะไรที่น่ารัก ขนาดเราที่เป็นคนอีสานเราฟังเองก็ยังอุ๊ย…อะไรอย่างนี้ เจ้าเป็นคนอีสานก็น่ารัก 

ในฐานะที่เป็นศิลปินนักร้อง และผ่านผลงานการแสดงมาแล้วเปรียบได้กับเป็นรุ่นพี่ แล้วน้องๆ ศิลปินลูกทุ่งแต่ละคนที่มาเล่นหนังเรื่องแรกที่มีครบทุกอารมณ์เลยเป็นยังไงบ้าง

พูดถึง “เต้ย จักร์รินท์” ก่อน เต้ยนี่เคยเจอกันในงานต่างๆ คือเขาเคยประกวดร้องเพลงด้วยกัน คือเคยเจอกันมาก่อนแล้วในวงการนักร้อง เขาจะรู้จักเต้ยดี พอได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งก็ได้มาเล่นเป็นแฟนกันด้วย มันก็ง่ายค่ะ มันก็คงไม่ยากหรอก เราก็คงจะไปกันได้ดี แต่จริงๆ แล้วพอเล่นจริงๆ ขำค่ะ เพราะต่างคนต่างขำ มันแบบคือไม่รู้ว่าด้วยความที่แบบเป็นเพื่อนกันรึเปล่า แต่เราก็จะพยายามบอกเต้ยว่าไม่เป็นไรๆ นี่คือหนังเรื่องแรกของเต้ย เขาก็จะเกร็งนิดหน่อย กังวลตลอดเวลา เขาเป็นคนที่ตั้งใจมากๆ อีกคนหนึ่ง แล้วพอแอ็กชันก็มาเลยจะไม่ใช่เต้ยแบบนักร้องละ ต้องเต้ยที่แบบเป็น “พี่แมน” มาเลยทันที เขาแสดงออกมาทำให้เราเชื่อว่าเขานอกใจเราจริงๆ แรงๆ และด้วยบทของพี่แมนค่อนข้างแตกต่างจากชีวิตจริงที่เขาเป็นคนอารมณ์ดี คนแบบพี่แมนเนี่ยคือเป็นคนที่กะล่อนปลิ้นปล้อน คือเหมือนกับดื้อเงียบจะไม่ค่อยแสดงอาการอะไร เห็นแก่ตัว มันก็เลยยากสำหรับเขา สำหรับหนูด้วย แต่ก็ดีมากๆ ที่เขาทำให้หนูเชื่อว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ รู้สึกมากๆ ว่าเขาเป็นพี่แมนเลย 

ส่วน “น้องเนม สุรพงศ์” หนูก็ฟังเพลงน้องเขา แล้วน้องเขาก็น่ารัก หนูก็ดีใจที่ได้มาร่วมงานกัน คู่เนมมีครบทุกรสชาติเลยไม่ว่าจะเป็นดราม่า กุ๊กกิ๊ก มีบทสนทนาในแบบวัยรุ่นที่เขาพูดหยอดกันไปมา มันทำให้ไม่เหมือนที่ไหนเลยค่ะ อยากให้ทุกคนติดตามกันดูว่าจะเป็นยังไง

ผู้กำกับ “อุเทน ศรีริวิ” นักทำหนังรุ่นใหม่ที่ตั้งใจถ่ายทอดวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ มุมมอง และทัศนคติตลอดจนไลฟ์สไตล์แท้ๆ ของความเป็นอีสานที่ออกมาในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา

ผู้กำกับ “พี่บอย” (อุเทน ศรีริวิ) เขาเป็นคนที่มีความฝันมากๆ เป็นคนที่ตั้งใจจากที่แอนรู้จักกับเขาตั้งแต่หนังเรื่องแรก เขาพยายามทำอะไรที่เกี่ยวกับอีสานมาตลอด เขามองเห็นอะไรๆ หลายอย่างที่อยากจะถ่ายทอดให้กับทุกคนได้รู้ได้เห็นกันในหนังอีสานแนวๆ นี้ซึ่งมันยังมีอีกเยอะมากๆ เขาตั้งใจจะส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอีสานเอาไว้ แล้วพี่บอยเขาก็เป็นคนที่มุ่งมั่นจริงจังและที่สำคัญคืออินดี้ เป็นคนง่ายๆ สบายๆ คำว่าอินดี้ในความหมายของคนอีสานคือจะเป็นคนที่แบบชิลๆ คือยังไงก็ได้ จริงใจ แล้วพอได้มาร่วมงาน ได้มาสัมผัสกับพี่เขาจริงๆ คือเขาตั้งใจที่จะให้ผลงานออกมาดีมากๆ คือดุเป็นดุเลยนะคะ อยู่ในกองนี่แบบว่าไม่ได้แบบนุ่มนวลเลย หรือใช้คำพูดแบบดีเลย แต่มันจะเป็นเอกลักษณ์ของเขาเวลาที่เขาทำงาน คือบางทีก็เหมือนกับกดดันเราด้วย แต่เราเข้าใจว่าเราเองต้องพัฒนาให้มันได้มากกว่านี้ แต่พอคัตปุ๊บเขาจะเรียกเรามาดูหลังกล้อง อ๋อ…เราเข้าใจละว่าสิ่งที่เขาพูดสิ่งที่เขาดุเรามันคืออะไร อ๋อ…มันได้อย่างนี้นี่เอง ซึ่งถ้าเขาไม่ดุหนูก็คงทำไม่ได้ขนาดนั้น ซึ่งมันทำให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยว่าจะทำอะไรมันต้องสุด มันต้องถึงที่สุดจริงๆ คือพี่บอยเป็นคนรุ่นใหม่ที่เขามองเห็นความเป็นอีสาน และอยากให้คนอื่นได้เห็นมุมมองที่เขามองเห็นด้วยนะคะ

นอกจากแสดงแล้วยังได้มีโอกาสร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ แถมยังต้องร้องคู่ด้วย

ก็เป็นอีกสิ่งที่ดีใจคือได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยค่ะ เพลง “คิดฮอดอีหลี” เป็นบทเพลงน่ารักๆ เป็นจังหวะโจ๊ะๆ นิดหนึ่ง ก็มาฟีเจอริงกับ “เต้ย ไมค์ทองคำ” หรือว่า “พี่แมน” ของเรานี่เอง ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกด้วยที่ได้มีโอกาสร้องเพลงด้วยกัน น่ารักค่ะ ผลงานเพลงนี้คือดนตรีเขาเป็นเอกลักษณ์มากๆ ก็อยากจะทำให้คนได้จดจำว่าอ๋อ…ได้ยินเมโลดี้แล้วจะต้องเป็นหนังเรื่องนี้แนนอน ก็อยากฝากให้แฟนๆ ติดตามแล้วก็ให้กำลังใจด้วยนะคะสำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์และก็ตัวภาพยนตร์ด้วยค่ะ

ปกติแล้วในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้มักจะต้องมีฉากหวานหรือฉากจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากรักซึ่งใน “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” เป็นอย่างไร 

ฉากคาราโอเกะเป็นฉากที่ตื่นเต้นมากๆ คะ เพราะว่าจากที่เราถ่ายทำกันที่บ้านของพระเอกนางเอกแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าทีมงานมีไปจัดฉากอะไรยังไง แต่พอบอกว่าวันนี้มีฉากคาราโอเกะนะ พอเรานั่งรถไปมันสันเขื่อนและเป็นทุ่งหญ้าโล่งเลยมันไม่มีอะไรเลย แต่เราสามารถเนรมิตเป็นร้านคาราโอเกะได้ในเวลาอันรวดเร็วและเหมือนคาราโอเกะที่บ้านเราจริงๆ อยู่ข้างในลึกเข้าไปในซอย พอเราขับรถเข้าไปเราเห็นไฟเปิดระยิบระยับ แล้วโลเคชันได้มาก มีเวทีเล็กๆ เหมือนสมัยก่อน พอเราเห็นเรารู้สึกว่าสนุกมากๆ เป็นฉากที่ประทับใจเพราะว่าได้เข้าร่วมฉากกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “โอบ” หรือว่า “พี่ฝ้าย” ฝั่งแอนก็จะมี “พี่โจอี้” แล้วก็ “พี่ดอกเหมย” ที่เป็นเพื่อนเรานะคะ แล้วก็เป็นเหมือนเฟิร์สเลิฟเจอกันครั้งแรกของพระเอกนางเอก เป็นที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงได้รู้จักกันวันนั้น ซึ่งสนุกมากแล้วอุปสรรคก็เยอะเหมือนกัน เพราะว่าเรามีการจุดธูปขอแบบฝนอย่าเพิ่งตกนะคะ อย่าเพิ่งตก ขอเวลาจนแบบถ่ายเสร็จ บึ้มมาเลย ตกมาเลยทันที อันนี้มันก็เป็นอะไรที่สนุกและน่าจดจำมากๆ เลยค่ะ คือมันเริ่มมาตั้งแต่เย็นเสร็จประมาณตี 2 ก็สนุกมากค่ะ

ระดับความกุ๊กกิ๊กที่แฟนๆ จะได้ฟินจากตัวละครคู่พระนางในหนังเรื่องนี้

ความกุ๊กกิ๊กของภาพยนตร์เรื่องนี้ระหว่าง “เคน” กับ “เฟิร์น” นะคะ แอนว่าน่าจะมาตามลำดับตามเนื้อเรื่องของเรื่อง ด้วยความที่ว่าแรกๆ เราก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอรู้จักกันไปก็เริ่มมีเข้ามาโดยธรรมชาติของมันเอง ทุกคนจะได้เห็นความน่ารักตั้งแต่การซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันไปมา มีมองตากันบ้าง มีคำพูดให้ทุกคนลุ้นกันไปว่าคู่นี้จะลงเอยกันยังไง 

คำโปรยบนโปสเตอร์ภาพยนตร์นิยามว่า “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” คือ “ภาพยนตร์รักไนบักขามขั่ว นัวส์ในอารมณ์”

พูดถึง “ไนบักขามขั่ว” ถ้าเป็นคนอีสานเขาจะเรียกว่า “ลูกอมคนจน” ซึ่งไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอนว่าเขากินยังไง ทีนี้มันก็เหมือนเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีประจำตัวของเฟิร์นก็คือนางเอกของเรื่อง คือไม่ว่าจะทำอะไรเฟิร์นก็จะเป็นคนที่ชอบแทะเม็ดมะขามนี่แหละค่ะ ชอบมากๆ ไม่ว่าจะทำอะไรคือจะต้องแทะ เสียใจก็ยังต้องแทะ ร้องไห้ก็ยังต้องแทะ เพราะว่ามันเหมือนว่าเขาติดชินเป็นนิสัยแล้ว ซึ่งมันก็เหมือนเป็นถ้าหลายๆ คนได้ดูก็จะทำให้เราคิดถึงความเป็นอีสานบ้านเรา ความเป็นอีสานสมัยเก่าซึ่งตอนนี้หาดูได้ยากว่าคนจะกิน จริงๆ เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เค้าก็ไม่กินกันแล้ว สมัยก่อนตอนที่แอนยังเรียนอยู่ประถมยังต้องคั่วเม็ดบักขามไปโรงเรียนนะคะ ต้องมีติดไปโรงเรียน ถ้าใครแทะแบบแข็งๆ ไม่ได้เขาก็มีเอาไปแช่น้ำให้มันเปื่อยก่อนแล้วค่อยกินมันก็จะเคี้ยวได้ง่ายขึ้น สังเกตว่าจะมีหลายๆ คนที่ต้องไปจัดฟันเพราะกินแทะไนบักขามนี่แหละค่ะ ทีนี้เราอยากจะให้ทุกคนได้เข้ามาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าไนบักขามจะมีส่วนเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ยังไง พระเอกนางเอกเกี่ยวอะไรกับไนบักขาม คือต้องติดตามดูในหนังค่ะ

ฝากอะไรกับแฟนๆ หน่อย 

ฝากทุกคนดูแลสุขภาพกันให้ดีๆ นะคะ แล้วก็อย่าลืมมาคลายเครียดกับภาพยนตร์เรื่อง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด…” ที่แอนขอฝากเอาไว้ในใจของทุกคนด้วยนะคะ รับรองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณยิ้ม เศร้ามีน้ำตา และเฮฮามากๆ และที่สำคัญคือจะต้องหิวด้วยนะคะ เพราะว่าหนังเรื่องนี้มีครบรสทุกรูปแบบทุกรสชาติแน่นอนค่ะ ยังไงก็ขอฝากหนังโรแมนติกคอมเมดี้สไตล์อีสานเรื่องนี้ไว้ในใจของแฟนๆ ทุกคนด้วยนะคะ 18 พ.ย.นี้ ไปเบิ่งโลดกันในโรงภาพยนตร์ค่ะ